17 ความจริงเกี่ยวกับเมืองดูไบมหานครแห่งความหรูหรา

นครดูไบ เมืองใหญ่แห่งประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความร่ำรวย รวยชนิดที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรคงจะเป็นคำพูดที่ใครหลายคนคงจะเคยได้ยินผ่านหูกันบ้าง แถมบางทีภาพของพวกเขามันก็ได้สร้างความอิจฉาตาร้อนให้กับเราได้มากจริงๆ ว่าชีวิตจะดีอะไรขนาดนั้น ทว่าก่อนที่จะไปถึงดินแดนตะวันออกกลางจริงๆ ลองมาดู 17 ความจริงเกี่ยวกับเมืองนี้กันดูว่าที่นี่มีอะไรที่น่าสนใจ หรือทำให้เราแปลกใจกันได้บ้าง

#1 รถตำรวจของตำรวจดูไบมีทั้งแลมโบกินี เฟอรารี่ และเบนท์ลี่ย์ ถ้าใครคิดจะหนีล่ะก็คงไม่รอด

#2 นครดูไบเป็นเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน

#3 ตึก The Burj Khalifa มีความสูงมากซะจนสามารถมองเห็นได้จากระยะ 90 กิโลเมตรเลย

#4 คุณสามารถมองเห็นสัตว์ป่าบางชนิดได้ที่เบาะในรถทั่วๆ ไป

#5 นักข่าวคนหนึ่งจากดูไบถูกขับไล่ออกจากประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะว่ามีหน้าตาหล่อเกินไป

#6 1 ใน 5 ของปั้นจั่นที่สูงที่สุดอยู่ที่นครดูไบแห่งนี้

#7 สิ่งก่อสร้างแสนงามนามว่า Palm Islands ได้นำเข้าทรายจำนวนมหาศาลถึงขนาดที่ว่าสามารถก่อสร้างตึก Empire State ได้ถึง 2 ตึกครึ่งเลย

#8 การขายน้ำมันเป็นเพียง 6% ของเศรษฐกิจของดูไบ แหล่งรายได้หลักคืออสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยว

#9 โรงแรมชื่อดัง The Burj Al Arab มีการตกแต่งอย่างวิจิตร โดยห้องล็อบบี้หลักของที่นี่จะมีวัสดุที่ใช้ทองคำเป็นหลัก และมีจำนวนมากเพียงพอที่จะสามารถห่อภาพ Mona Lisa ได้ถึง 46,265 ภาพ

#10 ประมาณ 85% ของจำนวนประชากรในดูไบเป็นชาวต่างชาติ และส่วนมากเป็นชาวอินเดียด้วย

#11 หุ่นยนต์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการแข่งขันอูฐ ธุรกิจที่มีค่าหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งสาเหตุที่ใช้หุ่นยนต์ก็เนื่องมาจากมีน้ำหนักที่เบากว่าและสามารถยืดหยุ่นได้มากกว่า

#12 40% ของการซื้อขายทองทั้งหมดของโลกในปี 2013 เกิดขึ้นที่ดูไบ แถมหากเอาน้ำหนักของทองทั้งหมดมารวมกันมันจะมีน้ำหนักมากกว่าช้าง 354 ตัวซะอีก

#13 ตำรวจดูไบมีวงปี่สก็อตเป็นของตัวเอง

#14 กว่า 39% ของพื้นที่โรงแรมชื่อดัง Burj Al Arab ไม่สามารถอยู่อาศัยได้

#15 ในปี 1968 มีรถยนต์เพียง 13 คันในดูไบ แต่ในปัจจุบันมีรถมากซะจนต้องสร้างถนนเป็น 2 ชั้นซะแล้ว

#16 ชอบที่จะทำลายสถิติโลกอยู่เสมอ อย่างที่เห็นนี่คือแหวนทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก

#17 คอร์ทเทนนิสที่อยู่สูงที่สุดในโลกอยู่ที่ดูไบ และมันคือยอดของตึก Burj Al Arab นั่นเอง

เครดิต businessinsider.com