4 สมบัติล้ำค่าที่ถูกทำลายด้วยเหตุผลแปลกๆ

ถ้ามีของขึ้นชื่อว่าเป็น สมบัติทางประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าใครๆ ก็ต้องรู้ถึงความสำคัญและต้องพยายามช่วยกันเก็บรักษา แต่ไม่น่าเชื่อว่าบางครั้งก็มีการทำลายสมบัติชื่อดังเหล่านี้ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย และนี่คือ 4 สมบัติล้ำค่าที่ถูกทำลายด้วยเหตุผลแปลกๆ จะมีอะไรบ้างถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

#1 สโตนเฮนจ์ถูกเอามาใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง

เป็นที่ถกเถียงกันมานานแล้วว่า สโตนเฮนจ์ ถูกสร้างมาเพื่ออะไรและทำได้อย่างไรกันแน่ ทฤษฎีมีตั้งแต่ว่าอาจจะเป็นเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา หรือบางคนก็เชื่อว่าสิ่งก่อสร้างนี้สร้างขึ้นโดยเวทมนต์ของพ่อมดแม่มดสมัยก่อน แม้แต่เชื่อกันว่าสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต่างดาวด้วยซ้ำ

นักโบราณคดีก็เชื่อกันว่ามันน่าจะถูกสร้างมาเมื่อประมาณ 2,500-3,000 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้มันกลายเป็นสิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลือมาถึงในปัจจุบัน และแน่นอนว่ามันมีชื่อเสียงมากพอๆ กันคุณค่าทางประวัติศาสตร์

แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ ส่วนที่สำคัญที่สุดของสโตนเฮนจ์ได้หายไป ภาพวาดจากเมื่อสมัยก่อนได้แสดงให้เห็นว่า ความจริงแล้ว สโตนเฮนจ์จะต้องมีแท่นบูชาหินอยู่ด้วย แต่ทุกวันนี้กลับไม่มีแท่นบูชาที่ว่าหลงเหลือให้เห็นอยู่เลย

นักโบราณคดีต่างหมกหมุ่นอยู่กับการหาชิ้นส่วนที่หายไปนั้น เพราะเชื่อว่ามันจะเป็นส่วนสำคัญที่แก้ปริศนาเกี่ยวกับสโตนเฮนจ์ที่ค้างคามานานหลายร้อยปีและตอนนี้ นักโบราณคดีก็เชื่อกันว่าได้พบชิ้นส่วนที่หายไปแล้ว

ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แท่นหินนี้ถูกนำไปทำเป็นหินก่อสร้าง เนื่องมาจากหินที่จะนำมาใช้มีไม่พอ ไปเจอกันว่าแท่นหินนี้ถูกแบ่งเป็นสองท่อนและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสะพานเล็กๆ ที่อยู่ห่างไปไม่กี่ไมล์

#2 มัมมี่ถูกเอามาใช้เป็นฟืน

ถ้าพูดถึงมัมมี่ คนส่วนใหญ่จะคิดถึงมัมมี่ของคนสำคัญของฟาโรห์ แต่จริงๆ แล้วใครก็ตามที่มีเงินพอในสมัยนั้นก็สามารถซื้อแผนการงานศพที่รวมถึงเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลายเป็นมัมมี่ได้ด้วย และแม้แต่บางคนที่ไม่มีเงินพอจะเตรียมการเป็นมัมมี่ไว้ บางครั้งร่างของคนตายก็กลายเป็นมัมมี่ไปเองเนื่องมาจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งแบบทะเลทรายของประเทศอียิปต์

แม้ว่าจะถึงยุคที่ไม่มีการทำมัมมี่อีกต่อไป ก็มีร่างมัมมี่จากสมัยก่อนอยู่เป็นหลักล้าน ถึงขนาดในช่วงปี ค.ศ.1800 มัมมี่เหล่านี้ก็มีอยู่มากมายทั่วไปตามท้องถนน จริงๆ แล้วมัมมี่ในอียิปต์มีมากกว่าจำนวนของต้นไม้เสียอีก และเมื่อฤดูหนาวมาเยือนชาวบ้านก็เลยแก้ปัญหาฟืนไม่พอด้วยการ นำเอามัมมี่แห้งๆ เหล่านี้มาเผาแทนฟืน เสียเลย

หลังจากนั้น จำนวนมัมมี่ก็น้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นสิ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์ไป แต่แทนที่ผู้คนจะช่วยกันรักษาเท่าที่เหลืออยู่ มัมมี่กลับถูกนำมาบดเพื่อทำเป็นยา ผ้าห่อมัมมี่ก็ถูกนำมาขายให้กับพ่อค้ายุโรปซึ่งนำไปทำเป็นกระดาษห่อของอีกที (แต่หลังจากนั้นก็ต้องเลิกทำไป เพราะกระดาษเหล่านี้ทำให้คนเป็นโรคอหิวาตกโรค)

นอกจากนั้น มัมมี่ก็ยังถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในหัวรถจักรอีกด้วย และร่างไหนที่สภาพดีหน่อยก็จะถูกนำไปขายให้กับนักสะสมผู้ร่ำรวยจากตะวันตกซึ่งจะจัดงานเลี้ยงฉลองแกะผ้าห่อมัมมี่ออกมาดูกัน

#3 หนังสือร้องเพลงประสานเสียงสมัยยุคกลางถูกเอามาทำเป็นโคมไฟ

ในสมัยยุคกลาง นักร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์จะไม่มีสมุดร้องเพลงเป็นของตัวเอง แต่โบสถ์จะทำหนังสือเพลงขนาดใหญ่แบบที่ทุกคนสามารถเห็นหมดเพียงเล่มเดียวเพื่อใช้ด้วยกัน

ซึ่งขั้นตอนการผลิตหนังสือแบบนี้ใช้เวลาทำมาก เพราะกระดาษทำมาจากหนังของลูกวัว ตัวโน๊ตและคำร้องทุกๆ หน้าก็ต้องค่อยๆ เขียนด้วยมือ ทำให้หนังสือแบบนี้กลายเป็นศิลปะยุคกลางที่สวยงามและปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็จะมีการจัดงานพิเศษเพื่อแสดงผลงานชิ้นเองเหล่านี้ให้คนยุคหลังๆ อย่างเราได้ชื่นชม

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ William Randolph Hearst ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหนังสือล้ำค่าพวกนี้ กลับนำพวกมันไป ตัดออกมาเป็นแผ่นๆ แล้วเอามาทำเป็นโคมไฟ แทนเสียได้ ทุกวันนี้โคมไฟพวกนนี้ก็ยังตั้งแสดงอยู่ในปราสาทของเขาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย

โฉมหน้าของ William Randolph Hearst

#4 วิหารพาร์เธนอนถูกเอามาทำเป็นโกดังเก็บของ

วิหารพาร์เธนอนตั้งอยู่ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เป็นสิ่งก่อสร้างโบราณอีกแห่งที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีที่มีอายุย้อนกลับไปถึง 447 ปีก่อนคริสตกาล มันเริ่มจากการเป็นวิหารเพื่อบูชาเทพี Athena และเมื่อศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท วิหารนี้ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นโบสถ์คาทอลิกแทน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ สถานที่นี้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวยุโรปจำนวนมากมายซึ่งต่างชื่นชมกับความสวยงามของวิหารนี้ จนกระทั่งถึงสมัยของจักรวรรดิออตโตมันในช่วงปี ค.ศ.1600 ที่กลับเปลี่ยนสถานที่อันน่าทึ่งที่เก่าแก่นี้ให้กลายเป็น โกดังเก็บของแทน และถ้าของที่เก็บในวิหารนี้เป็นข้าวของธรรมดาก็อาจจะไม่เป็นปัญหามากนัก แต่ของที่ถูกนำมาเก็บก็คือ อาวุธโบราณและดินปืน

จักรวรรดิออตโตมันและชาวเวนิสเริ่มทำสงครามกันในปี ค.ศ.1687 และในช่วงนั้นเองที่เริ่มมียิงลูกการระเบิดและไม่ต้องสงสัยว่าวิหารพาร์เธนอนก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการระเบิดนี้ด้วย เมื่อลูกระเบิดเจอกับดินปืนที่เก็บไว้ในวิหารก็เกิดระเบิดขึ้นครั้งใหญ่ที่ทำให้วิหารอันสวยงามเหลือแต่เพียงซากที่เราเห็นทุกวันนี้